ภาพวาด แวนโก๊ะ

รู้หรือไม่ผลงานของ Van gogh ที่เราเคยเห็นผ่านตานั้น บางรูปต้องการสื่ออะไร

เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องคุ้นเคยกับว่า “ ศิลปะนั้นยืนยาว เเต่ชีวิตเรานั้นสั้น” คำพูดนี้เป็นคำพูดของนักศิลปะท่านนึงที่ได้กล่าวไว้ ซึ่งเมื่อฟังครั้งเเรกหลายคนก็คงต้อง “อ๋อ” เลยกับความหมายนี้ ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าโลกของเราก้าวไกลไปมากอย่าง รวดเร็ว ทั้งเทคโนโลยี Ai หรือไม่ว่าจะเป็นความสามารถของมนุษย์ เเต่สิ่งหนึ่งที่เรายังได้เห็นอยู่ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันก็ตามนั้นก็คือผลงานศิลปะ
งานศิลปะเป็นสิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไปอีกนานเเสนนาน หากถูกเก็บเเละทนุถนอมรักษาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเเตกต่างจากชีวิตของคนเราดังคำกล่าวด้านบน เพราะมนุษย์นั้นก็ต้องดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ มีแก่ลง มีเกิดใหม่ เเต่ศิลปะก็คงอยู่อย่างนั้นดังเดิม ซึ่งในวันนี้เราก็มีตัวอย่างของผลงานศิลปะศิลปินท่านนึง ที่เรียกได้ว่า โด่งดั่ง เเละ มีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้มาฝาก !!

Van gogh

Van gogh
(Credit: BKKMENU)

 

ทุกคนเคยเห็นภาพนี้กันหรือไม่? เเล้วรู้จักไหมว่าคนในภาพคือใคร?

หากคนที่ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์เเท้ในศิลปะขนาดนั้นก็อาจจะไม่เคยเห็นเลย เเต่ผมเชื่อว่าภาพนี้คงจะผ่านตาของใครๆหลายๆคนมาบ้าง ยิ่งยุคที่เด่นเรื่อง social media เเบบนี้ ซึ่งคนในภาพนี้มีชื่อว่า ฟินเซนต์ เเวนโก๊ะ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Van gogh ถ้าถามว่าศิลปินท่านนี้ มีชื่อเสียงเเค่ไหน ก็คงต้องขอตอบเป็นรูปผลงานของเขาเลย

Van gogh

ซึ่งถ้าจะให้ทายว่าภาพไหนของเขา ถือเป็นผลงานที่
masterpiece มากๆ ก็คงหนีไม่พ้นภาพนี้จริงๆ ผมเชื่อว่าทั้งเด็กเเละผู้ใหญ่ก็คงต้องเคยเห็นภาพนี้ผ่านตามาอย่างเเน่นอน ในช่วงที่ผมเป็นเด็กมากๆ ผมเคยเห็นภาพนี้ตามร้านอาหาร หรือ ตามนิทรรศการต่างๆ บ้าง ซึ่งมันก็ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยขึ้นในใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมภาพนี้ถึงเป็นอย่างนี้นะ? ทำไมมันดูเเปลกตาจากรูปภาพที่เคยเห็นปกติในชีวิตประจำวันตามโทรทัศน์ หรือ โทรศัพท์จัง ในรูปนี้มันสื่ออารมณ์ออกมาได้หลายอย่าง ในตอนที่ผมเห็นรูปนี้ครั้งเเรก ผมรู้สึกถึงความกะอักกะอ่วนเเปลกๆ ด้วยลักษณะของเส้นที่โค้ง เเละ ก็โทนของสีที่ออกจะหม่น ให้ความรู้สึก สงบ เเต่ก็เหงาในเวลาเดียวกัน ซึ่งในช่วงที่ผมยังเด็กก็ไม่รู้หรอกว่า รูปภาพนั้นมีความหมายในตัว จนโตขึ้นแล้วได้กลับมาดูรูปนี้อีกที ทำให้เราอยากศึกษาภาพนี้มากขึ้น จนทำให้เกิดเป็นความสงสัย เเละ อยากรู้ลึกเกี่ยวกับภาพนี้ในเวลาต่อมา

 

 

 ซึ่งจากการ reserch ของผมก็พบว่า รูปภาพนี้มีชิ่อว่า ราตรีประดับดาวเหนือเเม่น้ำโรนเป็นภาพทิวทัศน์ของสถานบำบัดตอนกลางคืนที่ถูกมองออกนอกหน้าต่าง ในระดับสายตาของผู้วาด ถูกเขียนขึ้นโดยสีน้ำมันในปี 1889 ตอนนั้น van gogh อาศัยในเมือง อาร์ล ฝรั่งเศษ ซึ่งเป็นช่วงที่มีความวุ่นวายทางการเมือง การจลาจล หรือสงครามเล็กๆน้อยๆ ภาพนี้สื่ออารมณ์ของผู้วาดในช่วงนั้นได้ดีจริงๆ ในส่วนของ van gogh ได้บอกถึงเจตนารมย์ที่เเท้จริงว่า อารล์ นั้น มันเเสดงถึงว่าความต้องการศาสนาทางใจอย่างรุนเเรง สำหรับผม ทั้งโทนสี เเละการใช้เส้นลักษณะนั้น ทำให้เห็นความต้องการของผู้วาดได้อย่างเเท้จริง หมู่บ้านที่เราเห็นในภาพมีชื่อว่า เเซ็งเรมี เดอ พรอวองส์ ส่วนที่เด่นๆของภาพอีกส่วนนอกจากส่วนที่คล้ายประสาทดำใหญ่ยักษ์ เลยคือ เเถบดวงดาวทางด้านบนทั้งดวงจันทร์ ดาวศุกร์ van gogh มีการใส่ detail เกี่ยวกับหมู่ดาว ตามความเชื่อโหราศาสตร์ ไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน

 

(Credit: Blockdit)
(Credit: Blockdit)

  หลังจากที่ดูภาพที่เชื่อว่าทุกคนนั้นคงจะรู้จักเเล้ว เรามาดูในส่วนของภาพที่ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์เเท้จริงๆ ก็อาจจะไม่เคยเห็นเลย                                    

ทุกคนรู้สึกอย่างไรกับภาพนี้? ถ้าถามผม ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อนจริงๆ เเตกต่างกับภาพเเรกอย่างสิ้นเชิง ผมเเทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาพนี้ เเต่สิ่งที่ผมรู้สึกเลยคือ อารมณ์ของภาพ มันให้ mood and tone ที่คล้ายกับภาพเเรก.. รึป่าวนะ ผมมองว่า ถึงโทนสีจะต่างกันชัด ภาพนี้จะออกไปทางเขียวหม่นเลย เเต่มันก็ยังดูให้อารมณ์ที่เหงา เศร้าอยู่ดีสำหรับผม ถึงแม่ว่าคนในภาพจะมีหลายคน แล้วกำลังนั่งกินอะไรสักอย่าง เเต่โทนสีของภาพมันทำให้ ผมคิดว่าภาพนี้เหมือนย้อนคิดในอดีตรึป่าวนะ เเต่นี่ก็เป็นเเค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัว

 

 (Credit: Blockdit)
(Credit: Blockdit)

 ซึ่งในความเป็นจริงเเล้ว ภาพนี้ถือเป็นภาพเเรกๆ ที่ Van gogh ได้วาดขึ้นด้วยซ้ำ เเต่ภาพนี้ยังไม่ได้เป็นที่โด่งดังเทียบกับภาพอื่นๆ ภาพนี้มีชื่อว่า The potatoes eaters หรือให้เเปลง่ายๆเลยคือ คนกินมันฝรั่ง ขอบอกได้เลยว่า หลังจากที่ผมได้ ค้นคว้าข้อมูลของภาพนี้มา นี้ถือเป็นภาพที่ผมไม่เห็นมาก่อน เเต่พอรู้เบื้องหลัง story detail ในภาพแล้วนั้นมันทำให้ผมชอบภาพนี้มากๆ จริงๆ โดยในภาพเราจะเห็นว่าคนกำลังกินมันฝรั่งกันอยู่ ถ้ามองดีๆ ก็จะรู้ว่า background ของภาพนั้น ไม่ได้มีความหรูหราอะไร ดูเป็นบ้านของคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งบุคคลในภาพก็คือเหล่าชาวนาที่ van gogh อ้างอิงถึง หลังจากที่เขาขลุกอยู่ชีวิตในเมืองที่เเสนจะน่าเบื่อ เเละเต็มไปด้วยการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทั้งการสร้างบ้าน สร้างถนน หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ เเต่ เมื่อเขาได้เข้ามาที่เมือง นูเอ็น ซึ่งถือเป็นที่ห่างไกลชุมชนเมือง ที่นี่เขาได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวนา การเกี่ยวกับ ธรรมชาติ และบรรยากาศที่เเตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันทำให้เป็นจุดประกายที่ทำให้เขาสนใจ เเละอยากเรียนรู้เกี่ยวกับชาวนามากขึ้น จนนำมาสู่ภาพดังกล่าว ถือเป็นการวาดในช่วงที่ตนก็ยังไม่ได้ถนัดในศิลปะขนาดนั้น ภาพที่เเสดงออกมา สื่อถึงวิถีชีวิตของชาวนา 5 คนในทุกๆเย็น ก็จะมานั่งล้อมวงกันอาหาร(มันฝรั่ง) พูดคุยถึงสารทุกข์สุกดิบ ในภาพถ้าสังเกตดีๆ เเต่ละคนที่มือนั้นดูรู้เลยว่า เเต่ละคนทำงานกันหนักจริงๆ จนมีกระดูกโผล่ออกมา ภายในห้องเล็ก เเละมีเเค่เเสงไฟดวงเดียวเท่านั้น แต่มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ในตัวของ van gogh เองเขาก็นับถือชาวนาเหล่านี้มาก และภาพนี้ก็ตีเเผ่ในส่วนของสังคมเมือง เเละคนทำนาได้ค่อนข้างดีเลย

(Credit: rever city bankok)
(Credit: rever city bankok)

   สรุปสิ่งที่ได้; ทั้งหมดทั้งมวลเเล้ว ทุกคนเห็นไหมว่า ความรู้สึกสามารถเผยออกมาให้เห็นในรูปภาพได้จริงๆ ถึงเเม้ว่าพูดวาดจะไม่ได้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน เเต่ผลงานศิลปะของเขา ก็ยังเเสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวเขา เเสดงสังคม วัฒนธรรมในสมัยก่อน เเละอีกหลายๆอย่าง ที่ผู้วาดต้องการสื่อ มันยังคงดำเนินมาให้เราเห็นในปัจจุบัน และได้รับรู้ความต้องการของผู้วาด ซึ่งมันตรงเลยจริงฟ กับคำว่า ที่ว่า ศิลปะนั้นยืนยาว เเต่ชีวิตของคนเรานั้นสั้นดังที่กล่าวไปใรตอนเเรก

1 Comment

  1. Hi, this is a comment.
    To get started with moderating, editing, and deleting comments, please visit the Comments screen in the dashboard.
    Commenter avatars come from Gravatar.

Comments are closed